LynZie LynziE
Thursday, August 4, 2011
Stress Management :: ธรรมะบำบัดจิต
Stress Management :: ธรรมะบำบัดจิต
---------------------------------
--------------------------------------
สวัสดีค่ะ เจอกันอีกแล้ว วันนี้ ภารกิจ PhD ยังคงไม่ค่อยดีขึ้น สถานการณ์ค่อนข้างแย่จนคนรอบข้างค่อนข้างเป็นห่วงไปตามๆกัน..เป็นห่วงไปทั้งอังกฤษ..เป็นห่วงไปถึงเมืองไทย..เป็นห่วงไปทั้งโลกไซเบอร์.. ... ... ขนาดตัว PhD น้อยเอง ยังจิตตกถึงขั้นสุดยอด !
ได้มีโอกาสคุยกับพี่ๆ PhD หลายคนในช่วงเวลาสองสามวันมานี้.. ก็เข้าใจอะไรมากขึ้น..จนมาถึงพี่คนหนึ่ง ที่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันจนรู้สึกแย่มาก..พี่เค้าบอกว่า "พี่ร้องไห้..พี่ Hurt จนไม่อยากเรียนแล้ว" แล้วพี่เค้าก็ก้าวผ่านจุดนั้นมาได้ค่ะ
ต่อจากบทความของเมื่อวาน..ความเครียดของ PhD คืออะไรน่าจะรู้กันแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ว่า บุคคลคนหนึ่งยึดติดกับอะไรมากเกินไปจนเกินพอดี ยึดติดกับความคิด และยึดติดกับความรู้สึกที่ว่าเรากำลังแบกรับอะไรอยู่ที่แสนสาหัส .. การทำงานที่ผ่านความเครียด จะไม่ได้อะไร นอกจากความรน ..ที่ตัว PhD น้อยเองได้นั่งหน้าคอมมาตลอดเวลา 2-3 วันติด..ไม่คิดที่จะทานข้าว..ไม่คิดที่จะออกไปข้างนอก..ไม่สนใจผู้คนรอบข้าง..และนั่งร้องไห้อยู่เกือบตลอดเวลา เนื่องจากเรายึดติดกับอะไรบางอย่างมากเกินไป..ความกลัวเกินพอดี..กลัวว่าจะทำไม่ได้ กลัวว่าจะเรียนไม่จบ..กลัว..กลัว..ไม่รู้จะทำสิ่งใดก่อน..
ดังนั้น สิ่งที่วันนี้ PhD น้อยขอนำเสนอ จึงเกี่ยวกับเรื่อง Stress Management : การจัดการกับความเครียด :: ธรรมะบำบัดจิต
หนึ่งจุดประสงค์ของการเขียน ก็เพื่อไว้เตื่อนใจตัวเองให้ออกจากวงจรนี้ไปก่อนที่จะเริ่มใหม่ค่ะ
ก่อนอื่น ขอขอบคุณ คุณน้าจุ้ สุดสวย ผู้เผยแพร่แก่นธรรมะ ให้ได้อ่านและนำไปใช้กันตลอดเวลาค่ะ
-------------------------------------------
Rule No,1
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกล่าวไว้ว่า
นัยยะหนึ่งของทางสายกลางคือ สมดุลย์ หรือ ดุลยภาพ ....
ไม่มากไป ไม่น้อยไป "พอ" พอ ณ ตรงที่มัน "พอดี"
คือไม่สุดโต่งไปในทางข้างใดข้างหนึ่ง .....
ความสมดุลย์ คือลักษณะอันเป็นปกติของธรรมชาติ เป็นธรรมะ
ผู้มีปัญญาแต่ขาดความพอดีในการดำรงชีวิต
ทำให้ชีวิตขาดสมดุลย์แห่งธรรมชาติ ก็ย่อมเกิดทุกข์
วิ่งไปทางหนึ่งก็ชนภูเขา วิ่งไปอีกทางก็ตกลงในหุบเหว
คอนโทรลมากก็หุ่นยนต์ คอนโทรลน้อยก็คนบ้า
พึงรักษาสมดุลย์ และความพอดีแห่งชีวิตไว้ได้
จึงสามารถกลับสู่ความเป็นปกติโดยธรรมชาติ
คือความสมดุลย์แห่งชีวิต!!!
Action Summary : ก่อนที่จะทำอะไรต่อไป ดึงตัวเองกลับมาให้อยู่ในสภาวะจิตใจที่ปกติก่อน สภาวะจิตที่เครียด คือจิตที่ยึดถืออะไรโดยสุดโต่งเกินไป..การดึงตัวเองกลับมา ควรยึดถือหลักที่ว่า "ในโลกนี้ ไม่มีอะไรถาวร .. ทุกสิ่งล้วนเกิดแล้วดับ..สิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือภาพลวงตาทั้งสิ้น .. อย่าให้ความคิด เป็นเจ้านายของจิต..ขอให้จิตอย่าได้ยึดถือ..จงปล่อยวาง..และรักษาความสมดุลของจิต ให้เป็นลักษณะที่เป็นปกติของธรรมชาติ
-----------------------------------
Rule No.2
โลกนี้เป็นสิ่งสมมุติ ร่างกายคนสัตว์ และวัตถุธาตุใดๆ ก็ล้วนแล้วเป็นสิ่งสมมุติ เพราะสิ่งสมมุติย่อมไม่มั่นคง เกิดขึ้นมา ตั้งอยู่และดับสลายไปใน
ที่สุด(เกิด แก่ เจ็บ และก็ตาย) เป็นอยู่เท่านี้แหละ ก็วนอยู่เท่านี้ ไม่ได้ก้าวหน้าไปเกินกว่านี้ เพราะว่าโลกนี้ว่างเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียกว่า
สมมุติในโลกสมมุติ สุดท้ายก็สลายหมด ในชาตินี้ถึงเวลานี้พวกเราก็น่าที่จะเบื่อหน่ายในสิ่งสมมุติทั้งหลาย ตั้งจิตกลับคืนสู่บ้านเดิมจิตเดิมนั่น
ก็คือ.. โลกทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดรกันเสียที
Action Summary : สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ .. มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงหรอกค่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นมาไม่มั่นคง .. เกิดมา ..ตั้งอยู่..และก็ดับสลายไป..ความทุกข์ ก็อยู่กับเราไม่นาน..ความสุข ก็อยู่กับเราไม่นาน..ทุกสิ่งเกิดขึ้นล้วนเวียนวน สิ่งที่สำคัญคือต้องรู้ทันว่าเราคิดอะไรอยู่..เพราะแก่นที่สำคัญที่สุดไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในโลกสมมติ..แต่คือความสงบ..ไม่ทุกข์..ไม่สุข..ไม่รู้สึก..ที่อยู่ในทางสายกลางนั่นเองค่ะ
--------------------------------------------------
Rule No.3
ชีวิตของเรา ช่างน่าสงสารจริงๆ ช่างเต็มไปด้วยภาระ อันแสนจะหนักหน่วงทั้งวันและทุกวัน ตั้งแต่ลืมตาตื่นไปจนกลับมานอนจากเกิดไปจนตาย
เวลาอาบน้ำ แปรงฟัน เราก็ไม่เคยรู้ว่าเรากำลังอาบน้ำแปรงฟันอยู่เลย เพราะ เรากำลังคิดถึงเรื่องที่สำคัญกว่านั้นอยู่
เวลาขับรถหรือนั่งรถไปทำงาน ก็ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังขับรถหรือนั่งรถอยู่ เพราะเรากำลัง คิดถึงเรื่องที่สำคัญกว่านั้นอยู่
เวลาทำงาน ก็ไม่เคยรู้สึกตัวว่าทำงานอยู่เลย เพราะ เรากำลังคิดถึงเรื่องที่สำคัญกว่านั้น อยู่ ฯลฯ
ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราก็มักจะมี เรื่องที่สำคัญกว่า ให้คิดเสมอ
.....
เราไม่เคยคิดว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้น มันสำคัญอะไรเลย
เพราะถ้าหาก มันสำคัญต่อคุณจริงๆ เราก็ต้องรู้สิว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ แต่นี่เราคิดแต่เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วหรืออาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
สิ่งเหล่านั้น มันช่างเป็นภาระที่สำคัญในชีวิตของเรา มันมาเบียดบังเอาเวลาที่เราจะสามารถแสดงศักยภาพความสามารถของเราไปจนหมด
.......
ชีวิตเราไม่เคยมีความสุข
เพราะเราไม่เคยเห็นความสำคัญของสิ่งที่เรากำลังทำ
เราไม่เคยมีความสุขที่ได้ทำ ในสิ่งที่เรากำลังทำ
เราฝากความสุข กับความหวัง ความคาดหวังว่า จะได้ทำ กับอนาคตตลอดเวลา แต่พอได้ไปทำจริงๆ เราก็โยนความสุขไปข้างหน้าๆๆๆตลอดเวลา
ความหวัง คือ ความอยาก
ความอยาก ก็คือ ความไม่มี
คุณหวังว่า จะสุข ก็แสดงว่า ในขณะนั้น คุณไม่มีความสุข
มีโอวาทของพระอรหันต์สาวก ท่านได้กล่าวไว้ว่า
“มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้น ที่ดับไป”
ความหวัง ความอยาก ที่เกิดขึ้น ดับไป ทั้งวันของเรานั่นแหละ คือ "วัฏฏสงสาร" ที่ พระพุทธศาสนา กล่าวถึง
"การวนเวียนอยู่กับความหวัง ความอยาก หรือ สิ่งที่คิดว่าสำคัญ"
Action Summary : ชีวิตของเราไม่เคยมีความสุข เพราะความคิดของเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน เรามัวแต่คาดหวังกับอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น .. หรือสิ่งที่เรา "หวัง" หรือ "อยาก" ให้มันสำคัญ ปัจจัยความเครียดในที่นี้ก็คือความ "หวัง" หรือ "อยาก" ให้ประสบความสำเร็จ .. เราก็เลยวนเวียนอยู่ในวงเวียนแห่งความกังวล วงเวียนที่เราสร้างและสมมติขึ้นมาเอง อารมณ์ที่ขึ้น ลง .. เกิดขึ้น ..ดับไป
การที่จะออกจากวงเวียนแห่งนี้ได้ คือการรู้ทันจิต .. สำนึกว่าทุกอย่างในโลกนี้คือสิ่งสมมติ..หน้าที่สมมติที่เราจะต้องทำให้เสร็จ..เป็นหน้าที่ภารกิจทางโลก..และนั่นคือคำอธิบายที่ว่า..ทำไมความทุกข์ของคนเราในโลกนี้จึงไม่เหมือนกัน..เพราะเรามีภารกิจทางโลกต่างกัน..ภารกิจทางโลกไม่ใช่ของจริง .. เราจะหยุดวงจรนี้ได้.. เพียงแต่เจริญจิตให้รู้แจ้ง, ให้หยุดการปรุงแต่ง, หยุดการแสวงหา,
หยุดกริยาจิต.. มันก็จบแค่นี้
" เหลือแต่ บริสุทธิ์ สะอาด สว่าง ว่าง มหาสุญตา ว่างมหาศาล"
แก่นของชีวิตที่แท้จริง..มันก็แค่นี้
-----------------------------------
No comments:
Post a Comment
Newer Post
Older Post
Home
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment